ฟังพูดเขียน



                อีกปีเดียวคงเป็นปีสุดท้ายที่จะรับใช้สังคมดังที่ตั้งใจ จากนี้ไปคงต้องพักผ่อนแล้ว
28 กุมภาพันธ์ 2564 รู้สึกล้าและช้าขึ้นมากๆ ซึ่งเดิมๆก็ช้าอยู่แล้ว



กำลังจะหมดไปอีก 1 ปี(2556) การทำงานในระบบของธ.ก.ส.ที่ผ่านมา สามารถบอกออกมาเป็นตัวอักษรให้ทุกคนได้เห็นว่าองค์กรเรามีความยั่งยืนอย่างไม่มีที่สิ้นสุดเป็นจินตนาการที่ถูกสะสมตลอดมาถึง 47 ปี ลมหายใจขององค์กรไม่ต่างอะไรกับระบบของการหายใจของเรานี้เองกล่าวคือช่วงที่หายใจเข้า การเติมเอาลมเข้าไปในปอดหมายถึงการเติบโตขององค์กร การหายใจเอาลมออกไปจากปอดก็หมายถึงช่วงแห่งการแฟบลงขององค์กร ตัวอย่างเช่นถ้าพูดถึงการรับพนักงานเข้ามาใหม่ๆเป็นการเติมเอาปริมาณของคนเข้ามาขับเคลื่อนงานให้เติบโตต่อไป ตรงกันข้ามกับการเกษียณของพนักงานรุ่นเก่าๆในปีที่ผ่านมาก็อยู่ในช่วงหายใจออก เป็นช่วงขาดแคลนทรัพยากรบุคคลที่มีคุณค่าได้หายไปจากองค์กร...อะไรคือคุณค่าใหม่ที่เราจะสร้างขึ้นมาทดแทน ให้กับพนักงานใหม่ๆได้ นอกจากการสร้างแรงบันดาลใจให้กับคนในองค์กรให้กับเราและเขาไปพร้อมๆกัน การสร้างสิ่งใหม่ๆให้เกิดขึ้น การกระตุ้นให้เรากล้าคิด ในเนื้องานที่แตกต่าง การใช้ความคิดจากมุมองที่ต่างออกไปอย่างไร้ขีดจำกัด คิดแบบทำลายกฎเกณฑ์เก่าๆ คิดแบบเล่นๆ จินตนาการทุกชนิด เพื่อทำให้เกิดความเป็นไปได้ การสร้างทางเลือกใหม่ให้หนีความจำเจในวิธีปฏิบัติดังเดิมและได้ผลลัพธ์ที่ดีกว่าเดิม อะไรคือคำตอบ?...การที่เราจะให้สินเชื่อได้อย่างมีคุณภาพนั้น เราอาจได้คำตอบในวิธีคิดแบบใหม่ก็ได้เช่น การให้สินเชื่ออย่างมีคุณภาพที่ดีต้องปล่อยให้เกิดหนี้ค้างชำระอย่างน้อย 50 %ขึ้นไป อะไรคือสิ่งทำให้เราหรือเขาคิดเช่นนี้  อีกตัวอย่างหนึ่งคือ การสร้างกำไรให้กับองค์กรเพิ่มขึ้นโดยการลดดอกเบี้ยให้กับลูกค้า  หรือการคิดดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นจะทำให้กำไรลดลง  การผ่านกระบวนการคิดเช่นนี้คือปฐมบทแห่งการเปลี่ยนแปลงแนวคิดที่จะช่วยให้แรงบันดาลใจของแต่ละคนมารวมผสานกันเป็นหนึ่งเดียวจนกลายเป็นลมหายใจเข้าออกขององค์กร การสร้างแรงบันดาลใจให้กับคนที่กล้าคิดสิ่งใหม่ เพื่อหาหนทางแก้ปัญหาโดยการไม่ใช้วิธีการแบบเดิมๆ จินตนาการทุกชนิดของความเป็นไปได้  เป็นแนวทางของการเริ่มต้นเท่านั้น ตอนเริ่มต้นเขาอาจจะถูกเยาะเย้ยจากเพื่อนรอบข้างได้ว่าเป็นความคิดที่ไม่เอาไหนเสียเลยขาดตรรกะแห่งความเป็นจริง ลึกลงไปในความคิดของเขามิอาจที่จะหยั่งรู้ได้ ว่าเขาจะไปสร้างกระบวนการอะไรเพื่อให้องค์กรสร้างกำไรกลับขึ้นมาได้อย่างแยบยล วิธีการเช่นนี้สำหรับคนที่คร่ำหวอดกับงานนโยบายรัฐจะทราบดี เป็นการหาหนทางอีกทางหนึ่งมาแก้ปัญหา หมายรวมถึงสิ่งที่เราคิดว่า มันทำไม่ได้ น่าหัวเราะ เป็นความตรงกันข้ามกันกับสิ่งที่เป็นปกติของคนทั่วๆไปเขาคิดกัน ขณะที่กำลังเผชิญหน้ากับปัญหาเหล่านี้อยู่ก็ให้รีบลงมือทำมันเดี๋ยวนั้นอย่างจริงจังและตั้งใจให้เกิดความประณีตละเอียดถี่ถ้วนเลย หากท่านเป็นนักบริหารที่อยู่ในสถานะการเช่นนี้การเผชิญหน้าในที่ประชุมเมื่อพบว่าเกิดมีความเห็นที่ไม่ตรงกันของคนสองคนหรือสองกลุ่มหรือ ตรงข้ามกันกับเราก็ให้พยายามจินตนาการถึง ความคิดเห็นของคนๆนั้นให้ดูทีในเชิงกลับกัน จดบันทึกถึงเหตุผลทั้งหมดว่า ทำไมความเห็นของเขาจึงใช้การได้ ต่อจากนั้นลองบันทึกถึงเหตุผลทั้งหมดว่า ทำไมความคิดเห็นของเขาจึงใช้การไม่ได้ และในท้ายที่สุด จดบันทึกถึงสิ่งที่ไม่เข้าประเด็น หรือสอดคล้องกันเอาไว้ มีพนักงานจำนวนมากต้องตกอยู่ในสภาพการณ์ ที่ยากลำบาก โดยการไม่ลงรอยกันในการอธิบายความหมาย การกล่าวหากัน และการวิพากษ์วิจารณ์ความคิดเห็นของอีกฝ่ายหนึ่ง แทนที่จะ ควบคุม ความคิด ของพวกเขาต่อการกระทำ และการตัดสินใจว่า อะไรสามารถทำได้เกี่ยวกับเรื่องที่กำลังเผชิญอยู่....สุดท้ายก็ทางใครทางมัน

    มากกว่าครึ่งหนึ่งของการค้นพบที่ยิ่งใหญ่ของโลก ถูกนำขึ้นมาใช้โดยผ่าน การค้นพบโดยบังเอิญ  หรือการค้นพบบางสิ่งบางอย่างในขณะที่กำลังค้นหาบางสิ่งอยู่.....สิ่งที่เกิดขึ้นจากสิ่งเหล่านี้แหละที่ทำให้คนมี ความคิดสร้างสรรค์ และเกิดสิ่งใหม่ๆให้กับองค์กรของเรา การให้ความสำคัญถึงโอกาสสักครั้งหนึ่งที่ถูกเสนอตัวเองออกมาในภาวะฉุกเฉิน ผู้อื่นจะมีแนวโน้มที่จะตกอกตกใจหรือบ้าคลั่ง แทนที่จะใช้สมอง เพื่อกำหนดการตัดสินใจถึงทางเลือกต่างๆของพวกเขาสิ่งที่เป็นข้อผิดพลาดหนึ่งของคนเรา ซึ่งควรแก้ไขให้ถูกต้องก็คือ หลายคนส่วนใหญ่มักยึดถือความคิดเห็น หรือทัศนะต่างๆ ของตนเอาไว้ ทั้งนี้เพราะได้ถูกล้อมกรอบเอาไว้ด้วย อารมณ์ ความรู้สึก หรือเหตุผลในเชิงอคติต่างๆ  ควรขยับ ขยาย แนวคิดของตนออกไปให้กว้างขวาง เพื่อคลุมถึงความคิดเห็น ในทางตรงข้ามจากจุดยืนของตนเพื่อปลด เปลื้องพันธนาการจากการถูกจำกัดเช่นนี้ให้ได้และให้เร็ว ลบความมีอคติออก และไม่ใช้เรื่องอารมณ์ความรู้สึกมาเป็นพันธนาการ ปีนข้ามขอบมันออกไป ค้นพบสิ่งใหม่ๆให้กับองค์กรเราเชื่อว่าคุณเป็นอีกคนหนึ่งที่จะเป็นผู้สร้างแรงบันดาลใจให้กับตนและคนรอบข้างได้แสดงศักยภาพออกมาอย่างอัศจรรย์ ดั่ง ลมหายใจ Inspirare  เพราะเราคือพนักงานที่ผ่านเข้ามาในปอดขนออกซิเจนไปส่งมอบให้กับเม็ดเลือดเป็นผู้ส่งต่อไปเลี้ยงอวัยวะทุกส่วนของร่างกาย..นั่นหมายถึงองค์กรที่เข้มแข็งและเติบโตอย่างยั่งยืนตลอดไป………// วังค้างคาว// 1 มกราคม 2557
*************************************************************************************************
  ธ.ก.ส.จะเป็นองค์กรที่สร้างสรรค์ สร้างผลิตภัณฑ์ที่มีนวัตกรรม มีพนักงานที่คิดค้นบริการที่มีมูลค่า มีพนักงานที่Create "ระบบ" ทั้งองค์กร เพื่อให้เป็น "องค์กรสร้างสรรค์" (COD) : Creative Organization Development
การพัฒนาความคิดสร้างสรรค์ 

              มี 3 กระบวนการหลักๆดังนี้
                  1.การบ่มเพาะเมล็ดพันธุ์สร้างสรรค์ให้กับพนักงาน  ฝึกฝนการคิดนอกกรอบ สามารถนำความคิดหลุดโลกให้
                     สามารถนำมาใช้งานได้จริง
                  2.การช่วยให้หัวหน้างานมีทักษะในการกระตุ้นลูกน้องให้คิดสร้างสรรค์เติบโตงอกงาม  มิใช่เป็น “ผู้ตัดตอน”
                  3.การวางระบบขององค์กรธ.ก.ส.เพื่อนำความคิดสร้างสรรค์ไปสู่การลงมือทำจริง        
         ในองค์กรที่สร้างสรรค์ บทบาทของหัวหน้าและลูกน้อง ควรสนับสนุนส่งเสริมศักยภาพการคิดซึ่งกันและกัน ไม่ใช่พนักงานเปรียบเสมือน“กบ” มีหัวหน้าเป็นเหมือน“กะลา”  องค์กรต้องสร้างระบบให้เกิดบรรยากาศที่เอื้อให้เกิดการคิดสร้างสรรค์
    กระบวนการดังกล่าวมีหลักดังนี้ 
              1.การปรับมุมมองของคน (Mind Set)
              2.การสร้างความรู้สึก (Mood)
              3.การสร้างกระบวนการ (Mechanics) และวิธีสร้างให้องค์กรอยู่อย่างยั่งยืน (Momentum)
-ความคิดสร้างสรรค์ "ไม่เกี่ยว" กับไอคิว
-การสร้างความรู้สึก (Mood) เพื่อปลุกความคิดสร้างสรรค์ที่หลับอยู่ให้ตื่น
-ทำแบบคนขี้สงสัย ถามไปเรื่อย ๆ จะได้ความคิดที่บรรเจิดและหลุดโลกซึ่งเรียกว่า การคิดค้น (Divergent Thinking)
แล้วนำมาผ่านระบบกรอง ด้วยการคิดควบหรือ Convergent Thinking อีกที ขั้นตอนนี้เรียกว่า Mechanics “Divergent Thinking คือ การคิดอย่างอิสระ เน้นปริมาณมาก ๆ ไม่สนใจว่าผิดหรือถูก มุ่งหาความคิดหลุดโลก และจะพบว่าไอเดียหลังๆ จะแปลกกว่าไอเดียแรกๆ ถ้าอยากได้ความคิดใหม่ๆ ต้องคิดออกมาให้มากๆ ปล่อยความคิดแรกๆ ให้ออกมาก่อน ก็จะได้ "ความคิดใหม่" ในที่สุด  ใครที่ยัง"ตัน" อาจจะเริ่ม "ทะลวง" กรอบด้วยการตั้งคำถามกับตัวเอง ปฏิเสธสิ่งที่รู้อยู่ก่อน คิดให้หลุดโลกไปเลย
 แล้วค่อยหาวิธีดึงกลับมาให้อยู่ในกรอบขององค์กร " ขั้นของ Convergent Thinking  เป็นการคิดให้ รอบคอบ มีเหตุผล
ตรงตามวัตถุประสงค์  คิดแบบปรับปรุง ลดขั้นตอนเพิ่มประสิทธิภาพ  ไม่ซ้ำซากคงความแปลกใหม่ แล้วเลือกไอเดียที่ดีที่สุด"
การพัฒนาความคิดสร้างสรรค์  มี 3 กระบวนการหลักๆดังนี้
               1.การบ่มเพาะเมล็ดพันธุ์สร้างสรรค์ให้กับพนักงาน  ให้ได้ฝึกฝนการคิดนอกกรอบ สามารถ
                     นำความคิดหลุดโลกให้สามารถ   นำมาใช้งานได้จริง
          2.การช่วยให้หัวหน้างานมีทักษะในการกระตุ้นลูกน้องให้คิดสร้างสรรค์เติบโตงอกงาม มิใช่
                     เป็น “ผู้ตัดตอน”
          3.การวางระบบขององค์กรธ.ก.ส.เพื่อนำความคิดสร้างสรรค์ไปสู่การลงมือทำจริง
         ในองค์กรที่สร้างสรรค์ บทบาทของหัวหน้าและลูกน้อง ควรสนับสนุนส่งเสริมศักยภาพการคิดซึ่งกันและกัน ไม่ใช่พนักงานเปรียบเสมือน“กบ” มีหัวหน้าเป็นเหมือน“กะลา”  องค์กรต้องสร้างระบบให้เกิดบรรยากาศที่เอื้อให้เกิดการคิดสร้างสรรค์
    กระบวนการดังกล่าวมีหลักดังนี้ คือ
              1.การปรับมุมมองของคน (Mind Set)
              2.การสร้างความรู้สึก (Mood)
              3.การสร้างกระบวนการ (Mechanics) และวิธีสร้างให้องค์กรอยู่อย่างยั่งยืน (Momentum)
-ความคิดสร้างสรรค์ "ไม่เกี่ยว" กับไอคิว
-การสร้างความรู้สึก (Mood) เพื่อปลุกความคิดสร้างสรรค์ที่หลับอยู่ให้ตื่น
-ทำแบบคนขี้สงสัย ถามไปเรื่อย ๆ จะได้ความคิดที่บรรเจิดและหลุดโลกซึ่งเรียกว่า การคิดค้น (Divergent Thinking)
แล้วนำมาผ่านระบบกรอง ด้วยการคิดควบหรือ Convergent Thinking อีกที ขั้นตอนนี้เรียกว่า Mechanics “Divergent Thinking คือ การคิดอย่างอิสระ เน้นปริมาณมาก ๆ ไม่สนใจว่าผิดหรือถูก มุ่งหาความคิดหลุดโลก และจะพบว่าไอเดียหลังๆ จะแปลกกว่าไอเดียแรกๆ ถ้าอยากได้ความคิดใหม่ๆ ต้องคิดออกมาให้มากๆ ปล่อยความคิดแรกๆ ให้ออกมาก่อน ก็จะได้ "ความคิดใหม่" ในที่สุด  ใครที่ยัง"ตัน" อาจจะเริ่ม "ทะลวง" กรอบด้วยการตั้งคำถามกับตัวเอง ปฏิเสธสิ่งที่รู้อยู่ก่อน คิดให้หลุดโลกไปเลย
 แล้วค่อยหาวิธีดึงกลับมาให้อยู่ในกรอบขององค์กร " ขั้นของ Convergent Thinking  เป็นการคิดให้ รอบคอบ มีเหตุผล
ตรงตามวัตถุประสงค์  คิดแบบปรับปรุง ลดขั้นตอนเพิ่มประสิทธิภาพ  ไม่ซ้ำซากคงความแปลกใหม่ แล้วเลือกไอเดียที่ดีที่สุดสู่การปฏิบัติจริง" 
..................................................................................................................................................................

พลังมหัศจรรย์..อยู่ที่ไหน?...ใครจะตามหา?...
                    ...มันอยู่ในตัวคุณ เพียงแต่คุณค้นหามันให้เจอ

   มีอีกหลายคนที่ยังเที่ยวค้นหาความสำเร็จจากที่ต่างๆไม่ว่าจะเป็นหนังสือดีๆ อาจารย์ดีๆ ต่างก็มุ่งค้นหามันเพื่อความสำเร็จ  ในก้าวหนึ่งที่มุ่งหมาย   ภายในกรอบรอบรั้ว ธ.ก.ส. ก็ไม่ต่างอะไรที่พนักงานอยากจะค้นหามัน เพื่อที่จะให้เกิดความก้าวหน้า ความมั่นคง... พลังที่ว่านี้ไม่ได้อยู่ไกลแสนไกล หากมีอยู่ในตัวทุกคนอย่างเต็มเปรี่ยม  ซึ่งเราจะค้นพบมันเจอได้อย่างไร พลังแห่งความสำเร็จ อยู่ในตัวตนของทุกๆคนอยู่แล้ว  เพียงแต่เราจะกำหนดว่าเราอยากจะเป็นอะไร  ถ้าเรามองย้อนหลังกลับไปในอดีตที่ผ่านมา ทุกๆความล้มเหลวของเรา มักเกิดขึ้นเพราะเราเองเป็นผู้กระทำและตัดสินใจเองทั้งสิ้น  ส่วนความสำเร็จที่ผ่านมาล้วนแล้วเกิดจากแรงศรัทธาที่เป็นพลังแฝงอยู่ในตัวเราทั้งสิ้น  หากทุกคนมีความคิด ความศรัทธา ที่เกิดขึ้นเป็นแรงบันดาลใจมุ่งเข้าสู่จุดหมายที่ต้องการ ทุกคนจะพบว่าตัวเราเองนี่แหละที่ส่งพลังสู่ความสำเร็จด้วยตัวเราเองโดยแท้ ถ้าเราเพียงคิดว่าเราทำได้เราก็จะเกิดพลังอย่างที่เราคิด ออกมาสั่งให้เราเองปฏิบัติ  การปฏิบัติไปพร้อมกับความมุ่งมั่น ก็จะนำพาเราไปสู่ความสำเร็จ แต่ถ้าเราคิดว่าเราทำไม่ได้ เราก็จะเกิดความท้อแท้ ความท้อแท้ก็จะส่งผลให้ไม่สำเร็จอย่างที่ใจเราคิดนั่นเอง จากการศึกษาคนที่ประสบความสำเร็จล้วนพบว่าทุกคนต่างมีศรัทธาในตนเอง เชื่อมั่นในตนเอง คิดว่าตนเองทำได้ ดังนั้นถ้าหากเราอยากจะประสบความสำเร็จ   ก็ควรต้องมีศรัทธาในตนเองซึ่งเป็นพลังมหัศจรรย์ ที่เราจะต้องฝึกสร้างพลังดังกล่าวนี้อย่างสม่ำเสมอ พลังศรัทธาของตัวเราจะแข็งแกร่ง ขึ้นทุกวัน และนำพาเราไปสู่ความก้าวหน้าความสุขในการทำงานและมีคนรอบข้างคอยเป็นส่วนที่ช่วยเสริมพลังให้กับเราตลอดเวลา

การสร้างพลัง ความมหัศจรรย์เปล่งประกายให้กับตัวเราเอง

  1.เรียนรู้ตนเอง  สำรวจตัวเองว่ามีข้อดี ข้อด้วย ข้อเด่น อะไรบ้าง ถ้าพบข้อด้อยที่แก้ไขได้ก็ให้พยายามแก้ไข และเราจะต้องยอมรับในสิ่งที่ตัวเองเป็น ทุกคนต่างมีข้อดี ข้อเสียแตกต่างกันไป ซึ่งเป็นเรื่องธรรมชาติของมนุษย์ ไม่มีใครที่สมบูรณ์แบบทั้งหมด  ดังนั้นแล้วเราจะต้องพึงพอใจในสิ่งที่ตัวเราเองเป็น

  2.พึ่งตนเอง ไม่มีใครที่จะสามารถช่วยเราได้ตลอดไป เราจะต้องรู้จักช่วยตัวเอง ดังสุภาษิตจีนกล่าวไว้ว่า อย่ายืมจมูกของผู้อื่นมาหายใจหมายความถึง การทำงานด้วยตนเองก่อนที่จะเรียกร้องให้คนอื่นมาช่วยเราซึ่งถือเป็นการพัฒนาความสามารถของเราเองด้วย เราต้องพยายามทำด้วยตัวเองอย่างสุดความสามารถ และเมื่อเราทำได้แล้วเราก็จะยิ่งภูมิใจในความสามารถของตัวเองมากยิงขึ้นด้วย เรื่องนี้ต้องระมัดระวังความต่างเกี่ยวกับ Competency ให้ดีเพราะมีความหมายตรงกันข้ามกันคือไม่ต้องลงมือเอง แต่ให้ผู้อื่นกระทำให้จนประสบความสำเร็จ

   3.ศรัทธาตนเอง   อย่าดูถูกตนเอง... ศรัทธาในความสามารถของตัวเอง...จงเชื่อมั่นในตัวเอง ความสำเร็จอยู่ที่ความคิดของตนเอง ถ้าเราคิดว่าเราทำได้ เราก็จะทำได้  ไม่ว่าจะเป็นความทุกข์ความสุข ทุกอย่างล้วนแล้วอยู่ที่ใจเราเองทั้งสิ้น ถ้าเราคิดว่าเราทุกข์เราก็จะทุกข์ แต่ถ้าเราคิดว่าเรามีความสุขเราก็จะมีความสุข  ซึ่งตรงกับหัวใจพระพุทธศาสนาว่า จงทำจิตใจให้ผ่องใสอยู่เสมอ  ดังนั้นแล้ว เราจึงจำเป็นต้องศรัทธาตนเอง คิดหรือนึกอย่างไร ก็จะเกิดพลังนำพาไปถึงสิ่งเหล่านั้น เมื่อนึกถึงความสำเร็จ ท่านก็จะมีพลังนำพาไปสู่ความสำเร็จอย่างน่าอัศจรรย์

   4.ขจัดความกลัว  การขจัดความกลัวซึ่งเป็นอุปสรรคสำคัญของความสำเร็จออกไปจากความนึกคิดของเรา  เมื่อเรากลัว เราก็จะไม่กล้าที่จะลงมือทำอะไรเลย  เพราะกลัวจะทำผิด กลัวจะล้มเหลว กลัวจะผิดพลาด กลัวไปหมดทุกอย่าง เราต้องคิดถึงหลักความเป็นจริงว่า ถ้าไม่ลงมือทำแล้วจะประสบความสำเร็จอย่างไร  การลงมือทำอาจเกิดความผิดพลาดบ้าง แต่ก็จะเป็นประสบการณ์ตรงให้ได้แก้ไขและพัฒนาต่อไป ผู้ที่ประสบความสำเร็จในวันนี้ ล้วนแล้วผ่านความล้มเหลวมาก่อนทั้งสิ้น  เราจึงต้องมีจิตใจที่เข้มแข็ง มุ่งมั่น จงอย่ากลัวในสิ่งที่ยังไม่ได้เกิดขึ้น
   5.อยู่กับปัจจุบัน  หลายคนที่ยังไม่ประสบผลสำเร็จในชีวิตมักคิดไปถึงเรื่องอดีต เรื่องอนาคต โดยไม่เคยคิดถึงสิ่งที่ทำอยู่ในปัจจุบันเลย การคิดแบบนี้จะทำให้เกิดความรู้สึก ห่วงหน้าพะวงหลัง สิ่งที่กำลังทำอยู่ก็จะออกมาได้ไม่ดียิ่งถ้าเรากำลังคิดว่าอนาคตข้างหน้าเราจะยืนอยู่ในขั้นที่สูงๆของความก้าวหน้า ก็จะพบว่า เราเองยังยืนอยู่ ณ บันไดขั้นแรกเสมอ  ดังนั้นแล้วเราจึงควรคิดถึงสิ่งที่กำลังทำอยู่ในปัจจุบัน เอาใจใส่ ใจจดใจจ่อกับสิ่งที่ทำ แล้วผลงานที่ออกมาก็จะเป็นที่น่าพอใจสำหรับเราเองและผู้อื่น เพราะเราได้ใส่ใจทำอย่างเต็มที่

   6. คิดเชิงบวก   การคิดเชิงบวกเป็นทำให้ใจของเรามีพลังคิดถึงสิ่งที่จะทำ ได้อย่างมีความสุข โดยผสมผสานทั้งคน อุปกรณ์ เครื่องมือ แผนงาน วิธีการ ให้สอดคล้องกันอย่างลงตัวอย่างไม่มีอุปสรรค์ใดๆขัดขวาง หากใจเป็นสุขก็จะมีกำลังใจ มีพลังต่อสู้กับงาน ถ้าคิดถึงแต่เรื่องร้ายๆว่ามันจะต้องเกิดขึ้นอย่างแน่นอน ก็จะท้อแท้หมดพลัง ซึ่งเป็นอุปสรรคในการประสบความสำเร็จได้ จีงต้องคิดถึงแต่สิ่งดีดีที่จะเกิดขึ้นในอนาคต  เหตุการณ์ยังไม่เกิดอย่าได้นำมาเป็นเรื่องกังวลใจ

     7.บ่มเพาะนิสัยดีดีให้กับตนเอง  เป็นเรื่องที่หลาย คนลืมเข้าถึงว่าการสอนหรือบ่มเพาะใครสักคนหนึ่งให้ได้ดีในความหมายของเรานั้นคือ การสอนใจตนเอง ดังนั้น เราจึงต้องฝึกฝนตนเองให้เป็นผู้มีจิตใจที่เข้มแข็ง ไม่ท้อต่ออุปสรรคขวากหนาม มีความอดทน มีความเพียรพยายาม มีความกล้าหาญ ไม่ขลาดกลัว  มันอยู่ที่วิธีการคิดของเราทั้งหมดคนที่จะประสบความสำเร็จในชีวิตได้ จึงไม่ใช่คนที่เรียนเก่ง หรือคนขยันอ่านหนังสือเพื่อสอบผ่านไปในตำแหน่งที่สูงขึ้น แต่อยู่ที่ความเชื่อมั่น ศรัทธาในตัวเราเองมากกว่า ถ้าเราคิดว่าเราทำได้ เราก็จะทำได้ ถ้าเราเชื่อมั่นและศรัทธาในตัวเราเอง คนรอบข้างก็จะหันมาเชื่อมั่นและศรัทธาในตัวเราเช่นกัน  ความคิด ความเชื่อ และความศรัทธา คือ พลังมหัศจรรย์ที่ยิ่งใหญ่ในตัวเราเองที่เราจะค้นหามันออกมาเพื่อเปล่งประกาย ส่งเสริมให้เราและคนรอบข้างได้ประสบความสำเร็จและเป็นแบบอย่างพร้อมทั้งเปลี่ยนผ่านไปยังคน รุ่นต่อๆไป
             “เราเชื่อและศรัทธา ว่าทุกท่านที่เข้ามาอ่านบทความนี้ ในไม่ช้าท่านจะเป็นผู้ที่เห็นพลังในตัวตนของท่านเอง     ดังที่เราได้พบพลังมหัศจรรย์ด้วยตัวของเราเอง ...ด้วยความปรารถดีและเคารพในพลัง..มหัศจรรย์
                                                                                                                       วังค้างคาว                   20/04/2555                                                                                 
........................................................................................................................................................................

= ค่าของคุณอยู่ที่คุณนั่นเอง =

ทุกคนล้วนมีคุณค่าอยู่ในตัวเอง
 จงตระหนักในคุณค่าแห่งตน ยอมรับตนเอง ฝึกฝนตนเอง ให้โอกาสตนเองได้เติบโต ทุกคนล้วนมีความสามารถกลายเป็นสิ่งมีค่าอย่างน่าอัศจรรย์ การก้าวข้ามขวากหนาม ความเจ็บปวด ความพ่ายแพ้  ล้วนแล้วแต่มีความหมายอย่างยิ่งต่อการมุ่งไปสู่ชัยชนะแห่งตนเข้าสักวัน....       หากเรากำหนดสิ่งที่เราหวังไว้ในสมองให้เราคุ่นคิดกับสิ่งนั้นบ่อยๆก็จะเกิดพฤติกรรมแห่งความสำเร็จซึ่งเป็นผลมาจาก เจตคติ  เจตคติคือ นิสัยการคิด   นิสัยไม่ใช่สัญชาตญาณ หากแต่เป็นปฏิกิริยาที่เกิดจากการทำซ้ำๆ ดังนั้นแล้วการคิดดี พูดดี ทำดี ซ้ำแล้วซ้ำเล่าจะกลายเป็นนิสัยที่ดี และจะเป็นพลังแห่งความสำเร็จที่ฝังอยู่ในตัวเราตลอดไป  ตรงกันข้ามหากเราเอาเรื่องที่เลวร้ายมาฝังอยู่ในความคิดเราตลอดเวลา ผลที่เกิดขึ้นก็มักจะประสบความล้มเหลวเสมอมา ดังนั้นแล้วเราจงมาเป็น โปรแกรมเมอร์ พัฒนาโปรแกรมแก่ตนเอง พัฒนาสิ่งดีๆ ไว้ในสมอง และหลีกเลี่ยงการนำเรื่องแย่ๆ มาให้ลก สมอง โปรดจำไว้ว่า เราคิดอย่างไรได้อย่างนั้นขอจงตั้งใจให้แน่วแน่นำเอาหลักคิดนี้มาปรับปรุงตนเอง เพื่อมุ่งไปสู่ความสำเร็จในชีวิต นับแต่นี้ไป                การดำเนินชีวิตโดยปราศจากเป้าหมายที่ชัดเจนเปรียบเสมือนการอยู่ในถ้ำที่มีแต่ความมืด มองไม่เห็นหนทางออกว่าอยู่ทางใด หากเราไม่คิดว่าจะออกไปจากถ้ำ เราก็จะติดกับดักความคิดของตนเอง ในที่สุดก็หาหนทางไม่เจอ หากได้พบแค่แสงสว่างเล็กๆข้างหน้า ก็จะสามารถเร่งเดินไปสู่เป้าหมายได้อย่างรวดเร็วดังที่ผู้รู้หลายท่านได้กล่าวไว้ว่าทุกๆที่ที่มีปัญหา ที่นั่นมีทางออกเสมอ อุปสรรคของความสำเร็จนั้น   คนส่วนใหญ่ยอมแพ้ตั้งแต่ก่อนที่จะพยายามในครั้งแรกด้วยซ้ำ เหตุผลที่เขายอมแพ้เพราะความกลัวเขากลัวอุปสรรคและความล้มเหลว ... หมายความว่า ทุกเส้นทางสู่ความสำเร็จล้วนมีอุปสรรคและคนที่ประสบความสำเร็จมักจะล้มเหลวบ่อยกว่าคนที่ไม่ประสบความสำเร็จ ในขณะเดียวกันคนที่ประสบความสำเร็จจะมีความพยายามมากกว่า   
  พนักงานทุกๆคนจะมีงานที่ทำเป็นประจำอยู่ 5 ชิ้นเสมอ
งานชิ้นที่1 เป็น งานที่สำคัญมาก และมีผลกระทบอย่างรุนแรงต่อความสำเร็จ งานชิ้นที่2 เป็น งานที่สำคัญรองลงมา หากไม่ทำจะมีผลกระทบน้อยกว่าชิ้นที่แรก งานชิ้นที่3 เป็น งานที่น่าทำหากไม่ทำก็ไม่เป็นไร
งานชิ้นที่4 งานที่อาจมอบให้คนอื่นทำแทนได้ แล้วนำเวลาไปทำงานชิ้นแรก  งานชิ้นที่5 เป็นงานที่ไม่สำคัญ หากไม่ทำก็ไม่มีผลกระทบใดๆ  คนที่ประสบความสำเร็จเขามักจะทำงานชิ้นแรกก่อนเสมอ หากงานชิ้นแรกมีหลายอย่างก็ทำทีละอย่าง โดยการเลือกงานที่ใช้เวลาที่สั้นที่สุดก่อนเพื่อเป็นการเสริมกำลังใจในการทำงานสำคัญๆชิ้นต่อไป    ความพากเพียรเป็นสิ่งที่รับประกันได้ว่าจะนำพาให้เราไปสู่ความสำเร็จ แม้พรสวรรค์หรือความอัจฉริยะก็มิอาจสู้ความพากเพียรได้   คำกล่าวของท่านขงจื๊อ กล่าวว่า ชัยชนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเราไม่ได้อยู่ที่การไม่เคยล้ม แต่อยู่ที่การลุกขึ้นทุกครั้งที่เราล้มต่างหาก  โทมัส อัลวา เอดิสัน ผู้ที่ล้มเหลวในการทดลองมากมายยังกล่าวว่า เมื่อผมตัดสินใจเต็มร้อยว่าผลลัพธ์นั้นควรค่าต่อการไขว่คว้า ผมจะมุ่งไปหามันและทำการทดลองครั้งแล้วครั้งเล่าจนกว่าจะประสบความสำเร็จ และนี่คือคุณสมบัติที่เราควรนำเอามาเป็นต้นแบบเพื่อความสำเร็จในการทำงานของเรา  สวรรค์ไม่ได้แบ่ง คนเก่งกับคนธรรมดา แยกออกจากกันแต่คนเก่งจะเกิดขึ้นจากคนธรรมดาที่มีความเพียรพยายามผ่านการ ฝึกฝนและเรียนรู้มุ่งมั่นที่จะเป็นคนเก่งคนดีเสมอมา  เมล็ดพันธุ์ที่ถูกบ่มเพาะให้เติบใหญ่ถ้าเราปลูกอะไรลงไปเราก็จะได้ไม้พันธุ์นั้น ดังนั้นแล้วจงปลูกฝังสิ่งดีๆ ลงไปในสมองของเราคำพูดใดๆที่เราได้ยินซ้ำๆกันบ่อยๆครั้งจะกลายเป็น อุปนิสัยส่งให้พฤติกรรมอันดีงามเปล่งประกายออกมาในที่สุดความสมหวังและความสำเร็จจะเข้ามาหาเราในวันข้างหน้าอย่างแน่นนอน  จงอย่าปล่อยให้ความคิดหรือคำพูดของใครบางคนมาตัดสินชีวิตของเรา ในโลกนี้ไม่มีใครมีอิทธิพลกับตัวเรานอกจากตัวเราเอง ชีวิตไม่ใช่เกมกีฬา ไม่มีเวลาพักครึ่ง ไม่มีการขอเวลานอก และที่สำคัญคือ เป็นกีฬาที่ไม่สามารถเปลี่ยนตัวผู้เล่นได้  ต้องเล่นเองทั้งชีวิต ประมาทไม่ได้     เพียงเราคิดว่าตัวเราเองทำได้ เราก็ทำได้ตั้งแต่คิดแล้ว แต่หากเราคิดว่าตัวเราเองทำไม่ได้ เราก็ทำไม่ได้ตั้งแต่ที่คิด สิ่งที่เลวร้ายที่สุดของมนุษย์คือ การตอกย้ำตัวเองว่าทำไม่ได้ แม้แต่ คิด ยังไม่กล้าที่จะคิด แล้วชีวิตจะประสบความสำเร็จได้อย่างไร? จงกล้าที่จะเผชิญความล้มเหลว เพราะความล้มเหลวคือ บทที่ทดสอบความสำเร็จของเรานั่นเอง  มนุษย์ คือจุดศูนย์กลางของเส้นรอบวงที่ไม่มีขีดจำกัด ทำไมเป็นมนุษย์เหมือนกันจึงประสบความสำเร็จไม่เท่ากัน นั่นเป็นเพราะมนุษย์แต่ละคนได้รับโอกาส ทางความคิดที่แตกต่างกัน คนที่สำเร็จ มองปัญหาเป็นโอกาส แต่คนที่ล้มเหลวมองโอกาสเป็นปัญหา คนสำเร็จจะปรับตัวเองไปหาสิ่งแวดล้อมภายนอก แต่คนล้มเหลวจะรอให้สิ่งแวดล้อมภายนอกปรับตัวเข้าหาตัวเอง  “ความรู้ เป็นเพียง แค่พลังอำนาจแฝงชนิดหนึ่งเท่านั้น ความรู้จะกลายเป็นพลังอำนาจที่ยิ่งใหญ่ก็ต่อเมื่อมันถูกนำไปใช้อย่างชาญฉลาด  การฟังแต่ไม่ได้ยิน การได้ยินแต่ไม่เข้าใจ การเข้าใจแต่ไม่ลึกซึ้ง การลึกซึ้งแต่ไม่แตกฉาน การแตกฉานแต่ นำไปใช้ไม่เป็น ดังนั้นแล้วจงนำศักยภาพและอัจฉริยภาพที่ซ่อนเร้นในตัวเราออกมาใช้อย่างชาญฉลาดและแยบยล
คนที่เขาประสบความสำเร็จเป็นระดับผู้บริหารหรือผู้นำขององค์การ ล้วนแล้วแต่มิใช่คนเก่ง แต่เป็นคนดี  คนเก่งมักจะมี อัตตา จะไม่ยอมปรับตัวเข้าหาสิ่งแวดล้อมและคนรอบข้าง ไม่รับฟังความคิดเห็นของคนอื่น ไม่ยอมรับการพัฒนาความรู้และสิ่งใหม่ๆ ปกครองคนไม่ได้ คนเก่งอาจใช้เวลาไม่นานนักฝึกฝนให้เก่งได้ แต่ คนดี ต้องใช้เวลาสอนกัน ทั้งชีวิต สิ่งที่ขาดหายไปจากคนเก่งมักจะเป็นความจงรักภักดี และความกตัญญู จงเลือกในสิ่งที่เราเลือกจงเป็นในสิ่งที่เราอยากจะเป็น  ……..ค้างคาวที่ไม่ชอบค้างคืน 4 สค.2555

.......................................................................................................................................................................
...หลายครั้งที่เราพบกับความท้อแท้แล้วไม่อยากทำอะไรเลย...
...เปลี่ยนเถอะครับแล้วจะพบกับจุดเริ่มต้นของชีวิต..ไม่มีวันสาย...
...มีคำพูดบางคำที่จำจากพ่อแม่ว่า......................
... จงอย่าเอื้อมมือไปให้เขาช่วย...ในขณะที่เรายังไม่ช่วยตัวเอง...
...ถ้า"การรับ"เท่ากับ "การให้" เพราะฉะนั้น "การให้"คือ "การรับ"...
...จงช่วยเพื่อนที่รู้จักทุกครั้งที่มีโอกาสมาถึงเรา....มาฟังเพลงนี้กันครับ
..............................................................................................................................................................
คำว่า "รัก" อักษรา ค่ายิ่งใหญ่ ยากยิ่งนัก

......การเงิน.......................    http://www.4shared.com/file/npDPsjCh/_online.html
.....พัฒนาธุรกิจ.................. http://www.4shared.com/file/qi5t_UMI/_online.html

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น